Future Food System Conference & Show 2025:

สรุปประเด็นสําคัญด้านการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนระบบอาหารฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

จากงาน Future Food System Conference & Show 2025 – 29 พฤษภาคม 2568 "RE-GENERATIVE FOOD & AI: TRANSFORMING OUR FOOD SYSTEM"

ถอดบทเรียนธุรกิจจาก Panel ที่ 1

8 บทเรียนเพื่อเปลี่ยนอนาคตอาหาร
Regenerative Food & AI: ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยี แต่คือ “แนวทางที่โลกต้องการ”

เมื่อกล่าวถึง "อาหารแห่งอนาคต" หลายคนอาจนึกถึงเพียงภาพของนวัตกรรมล้ำสมัย เช่น อาหารแคปซูล หรือโปรตีนจากแมลง แต่แท้จริงแล้ว แก่นแท้ของการเปลี่ยนผ่านระบบอาหารในศตวรรษนี้ กลับตั้งอยู่บนหลักการของ "การฟื้นฟู" (Regeneration) ซึ่งหมายถึงการเยียวยาระบบนิเวศ เกษตรกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคให้กลับคืนสู่สมดุล

 

Future Food System Conference & Show 2025 ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ผู้นำจากภาคเอกชน ภาครัฐ สตาร์ทอัพ และเครือข่ายภาคเกษตรกรรม ร่วมกันถอดบทเรียนสำคัญจากหัวข้อ “Regenerative Food & AI: Transforming Our Food System” ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็น 8 บทเรียนที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคตของระบบอาหาร ดังนี้

1. Regenerative ไม่ใช่เพียงการผลิตแบบยั่งยืน แต่คือการ “คืนชีวิตให้ดิน”

“การทำเกษตรแบบฟื้นฟู ต้องเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงเพื่อผลผลิต แต่เพื่อตอบแทนธรรมชาติที่เลี้ยงดูเรา”– ดร.ศิริกุล เลากัยกุล (Sustainable Brands Thailand)

การฟื้นฟูคุณภาพดิน การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาใช้อย่างมีคุณค่า ถือเป็นรากฐานของระบบอาหารใหม่ที่มีชีวิต

 

2. แบรนด์ยุคใหม่ ต้องสร้าง “ความเชื่อมั่น” มากกว่าสินค้า

แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารในปัจจุบันไม่สามารถเป็นเพียงผู้ผลิตได้อีกต่อไป หากแต่ต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส ความรับผิดชอบต่อสังคม และการสนับสนุนชุมชนผู้ผลิต

 

3. การออกแบบระบบอาหาร ต้องครอบคลุมตั้งแต่ “ต้นน้ำถึงปลายน้ำ”

“กว่า 80% ของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอาหารหนึ่งหน่วย มาจากวัตถุดิบ ไม่ใช่โรงงาน”
– คุณแดน ปฐมวาณิชย์ (NRF)

การลดผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อมจึงต้องเริ่มจากแหล่งผลิต พร้อมส่งเสริมเกษตรกรให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เกษตรกรรมแบบฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ

 

4. Regenerative คืออนาคตของการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร

“เรามองหาโครงการที่เข้าใจบริบทของเกษตรกร และสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงระบบ ไม่ใช่แค่นวัตกรรมที่สวยงาม”– คุณ Ming Zhu (Nourish Ventures)

การลงทุนด้านอาหารต้องเปลี่ยนจาก “ลดผลกระทบ” ไปสู่ “การสร้างผลบวกสุทธิ” ต่อระบบสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

 

5. เกษตรกรไทยมีศักยภาพ แต่ยังขาดแรงจูงใจและกลไกส่งเสริม

“เกษตรกรรู้ว่าอะไรดี แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร และทำไปเพื่ออะไร”

– คุณรัชกฤต สงวนชีวิน (Siam Kubota)

ข้อเสนอสำคัญคือการสร้างตลาดที่รับรองสินค้า Regenerative และนโยบายที่ลดต้นทุน พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ผลิตต้นทาง

 

 

6. ระบบอาหารที่ยั่งยืน ต้องอาศัย “ความร่วมมือ”

Startup, นักลงทุน, เกษตรกร, ผู้ผลิต และผู้บริโภค ต้องทำงานร่วมกันแบบ Ecosystem ไม่ใช่แบบคู่แข่งในห่วงโซ่ โดยเน้นการแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และเป้าหมายร่วม

 

7. ไม่เพียงแต่มนุษย์ต้องเปลี่ยน โลกเองก็ต้องได้รับการฟื้นฟู

“ไม่ใช่ Human-Centric อีกต่อไป แต่คือ Life-Centric”– ดร.ศิริกุล เลากัยกุล

Regeneration คือกระบวนการที่คืนความสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การสร้างสิ่งใหม่ แต่คือการเยียวยาสิ่งที่ถูกทำลาย

 

8. การเปลี่ยนอนาคต เริ่มจากการเปลี่ยน “มุมมองต่อคุณค่า”

  • ผู้บริโภคต้องเห็นคุณค่าในอาหารที่ผลิตอย่างรับผิดชอบ

  • แบรนด์ต้องยอมรับต้นทุนที่สะท้อนความจริง

  • ผู้ค้าปลีกต้องเปิดพื้นที่ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีผลดี

  • รัฐบาลต้องสร้างกรอบนโยบายที่สนับสนุนระบบที่เป็นธรรมและยั่งยืน

 

บทสรุป

การเปลี่ยนแปลงระบบอาหาร ไม่ได้เริ่มที่เทคโนโลยี แต่เริ่มที่ “ความคิด” วิธีการเลือกกิน การตัดสินใจซื้อ และวิธีมองคุณค่าในอาหารทุกจาน

อาหารแห่งอนาคตจึงไม่ใช่แค่นวัตกรรมใหม่ แต่คือแนวทางชีวิตใหม่ ที่ผู้คน ธรรมชาติ และเศรษฐกิจสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างสมดุลและยั่งยืน

 

รายชื่อ Panelist

1. ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการ Sustainable Brands (SB) Thailand

2. คุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF)

3. Ming Zhu Senior Investments & Partnerships Manager – Asia Pacific, Nourish Ventures, Griffith Foods Limited

4. คุณรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน Kubota

5. คุณสันติ อาภากาศ CEO/Co-Founder Bio Buddy, TASTEBUD LAB and Future Food Network

ถอดบทเรียนธุรกิจจาก Panel ที่ 2

เมื่อ “AI” และ “Regenerative Thinking” กลายเป็นเครื่องมือพลิกอนาคตอาหารโลก

การพูดถึง "การฟื้นฟูระบบอาหาร" ในอดีต อาจหมายถึงการทำเกษตรแบบอินทรีย์หรือแนวทางธรรมชาติ แต่ในโลกปัจจุบัน การฟื้นฟูที่แท้จริงกำลังก้าวไกลกว่านั้น ด้วยพลังของเทคโนโลยี เช่น AI, Big Data และ Cellular Agriculture ที่เข้ามาช่วยปรับสมดุลระหว่าง “มนุษย์-อาหาร-ธรรมชาติ” อย่างยั่งยืน

 

1. AI คือเครื่องมือหลักของระบบอาหารอนาคต

“AI จะช่วยให้เรารู้ล่วงหน้าว่าควรปลูกอะไร ปลูกเมื่อใด และขายให้ใคร”
– ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา, รองประธานกรรมการหอการค้าไทย

AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการความมั่นคงทางอาหาร เช่น การวิเคราะห์พันธุ์พืชให้เหมาะกับตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบเหลือใช้ และการผลักดัน 4 หมวดอาหารแห่งอนาคต ได้แก่ Functional Food, Organic, Alternative Protein และ Personalized Food

 

2. Regenerative คือการฟื้นฟูทั้งระบบห่วงโซ่อาหาร

“Regenerative สำหรับไทวา คือการดูแลตั้งแต่ดิน แรงงาน จนถึงผู้บริโภค”
– คุณหทัยกาญจน์ กมลศิริสกุล, Thai Wah

บริษัทไทยวาใช้ AI และภาพถ่ายดาวเทียมบริหารจัดการฟาร์มกว่า 3,000 แห่ง พร้อมใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาอาหารสูตรเฉพาะที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคตั้งแต่การผลิตล็อตแรก แนวคิดการฟื้นฟูจึงไม่จำกัดอยู่แค่การปลูก แต่หมายถึง “ชีวิตทั้งระบบ” ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

 

3. เนื้อเพาะเลี้ยงคือโอกาสใหม่ ไม่ใช่ภัยคุกคาม

“Cultivated Meat ไม่ได้มาแทนระบบเดิม แต่มาเสริมให้โปรตีนเพียงพอในอนาคต”
– Mr. Peter Yu, APAC Society for Cellular Agriculture

เทคโนโลยีเนื้อเพาะเลี้ยงกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการผลิต แต่ต้องเร่งพัฒนากฎหมายและการยอมรับของตลาดเพื่อให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง

 

4. โปรตีนทางเลือกคือการเพิ่ม “ทางเลือก” ไม่ใช่การแทนที่

“เราไม่เรียกว่า Alternative Protein แต่เรียกว่า Complementary Protein”
– Dr. Crispin Howitt, CSIRO

นวัตกรรมโปรตีน เช่น Lactoferrin จากเทคโนโลยี Precision Fermentation ถูกพัฒนาเพื่อเติมเต็มระบบอาหาร ไม่ได้แย่งพื้นที่หรือวัตถุดิบจากภาคการผลิตดั้งเดิม จุดมุ่งหมายคือการสร้าง “ตัวเลือก” ที่ดีต่อสุขภาพ รสชาติ และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

 

5. การฟื้นฟูระบบอาหารคือการเชื่อมโยงใหม่ทั้งระบบ

“Regeneration คือการเดินหน้าสร้างระบบใหม่ในโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว”
– Mr. Luke Tay, Cornucopia Futurescapes

Regenerative Thinking ในมุมมองของ Luke Tay คือการผสานเทคโนโลยีกับธรรมชาติ เพื่อสร้างระบบอาหารที่ยืดหยุ่น เชื่อมโยง และเปิดกว้างระดับภูมิภาคและโลก โดยย้ำว่า AI, ระบบข้อมูลแบบเปิด, และนโยบายที่ข้ามพรมแดน จะเป็นกลไกสำคัญของการฟื้นฟูที่แท้จริง

 

 

บทสรุป:

เมื่อ “การฟื้นฟู” ไม่ได้หมายถึงการย้อนกลับ แต่คือการสร้างระบบใหม่ที่ดีกว่า

เวทีเสวนานี้แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของระบบอาหารไม่ได้เป็นเพียงการหวนคืนสู่ธรรมชาติ แต่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีจิตวิญญาณ ผ่านการใช้เทคโนโลยีล้ำลึกเพื่อเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “เราจะถอยกลับไปหาอดีตได้หรือไม่” แต่คือ “เราจะสร้างระบบใหม่อย่างไรในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

Regenerative Food System จึงไม่ใช่แนวทางของภาคเกษตรกรรมเพียงลำพัง แต่คือแนวทางของทั้งระบบเศรษฐกิจอาหาร ที่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องลงมือร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ปี 2050 จะมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

รายชื่อ Panelist

1. คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

2. คุณหทัยกาญจน์ กมลศิริสกุล รองประธานกรรมการกลุ่มอาวุโส (AVP), หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร ความยั่งยืน และนวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน)

3. Mr. Peter Yu, Program Director, APAC Society for Cellular Agriculture

4. Dr.Crispin Howitt, Future Protein Lead,CSIRO (Commonwealth Scientific and Industrial Research Organisation)

5. Luke Tay, Founder, Cornucopia FutureScapes

ถอดบทเรียนธุรกิจจาก Panel ที่ 3

4 แนวทางหลักในการลงทุน เมื่อ “การลงทุน” คือจุดเริ่มต้นของระบบอาหารที่ยั่งยืน

ในช่วงเวลาที่โลกต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โภชนาการ และความมั่นคงทางอาหาร การลงทุนในระบบอาหารจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ผลตอบแทนทางการเงิน” หากแต่เป็น “การลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง” อย่างแท้จริง

Future Food System Conference & Show 2025 คือเวทีสำคัญที่เปิดพื้นที่ให้ผู้นำ นักลงทุน และนักสร้างสรรค์ในโลกอาหาร มาร่วมกันขับเคลื่อนแนวคิด “Regenerative Food System” หรือระบบอาหารเชิงฟื้นฟู ซึ่งเน้นการออกแบบระบบที่ดีต่อผู้คน สังคม และโลกไปพร้อมกัน

 

1. ทำไม Regenerative Food System จึงสำคัญ?

“อาหารไม่ใช่แค่สิ่งที่เรากิน แต่เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงโลก”
Mr. Kaushik Barua, Lead Portfolio Advisor Thailand, IFAD

ระบบอาหารในปัจจุบันสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อธรรมชาติ เศรษฐกิจ และชีวิตของเกษตรกรรายย่อย Regenerative Food System จึงเป็นแนวทางใหม่ที่เน้นการฟื้นฟูผืนดิน แหล่งน้ำ สุขภาวะของชุมชน และห่วงโซ่อาหารโดยรวม และการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้จำเป็นต้องอาศัย “ทุน” ที่มองเห็นภาพรวม และมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างผลกระทบเชิงบวก

 

2. Impact Investment เพื่ออาหารแห่งอนาคต

ภายในเวที Future Food System Conference & Show 2025 นักลงทุนจากองค์กรชั้นนำได้สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของการลงทุนที่สร้างผลกระทบทางสังคม ดังนี้:

 

“เราคือผู้ลงทุนคนแรก ช่วยให้สตาร์ทอัพเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นของจริง”
คุณนฤศันส์ ธันวารชร, CEO, Innospace

“ทุนวันนี้ต้องผสมผสานหลายรูปแบบ เช่น Blended Finance และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเร่งสตาร์ทอัพที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน”
Dr. Srinivasan Ancha, Principal Climate Change Specialist, ADB

“ไม่ใช่ทุกไอเดียจะไปถึงยูนิคอร์น แต่ทุกไอเดียสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราวัดผลที่ใช่”
คุณมนู มากมณี, Vice President, TBAN

“เราต้องลงทุนในโซลูชันที่สร้างผลกระทบ ทั้งด้านสุขภาพ ชุมชน และรายได้ของเกษตรกรรายย่อย”
Mr. Kaushik Barua, Lead Portfolio Advisor Thailand, IFAD

“ประเทศไทยคือจุดตั้งต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับนวัตกรรมอาหาร เรามีทั้งวัตถุดิบ คน และโครงสร้างทุนที่พร้อมผลักดันสู่ระดับโลก และสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้ คือการจับมือกันของภาครัฐ เอกชน นักลงทุน และผู้ประกอบการ เพื่อร่วมลงทุนในรูปแบบของ Impact Venture Capital Fund เพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”
คุณสันติ อาภากาศ, CEO & Co-founder, Tastebud Lab / Biobuddy / Future Food Network

 

3. อะไรคือสิ่งที่นักลงทุนมองหาใน Regenerative Startups?

  • เทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น AI ในการออกแบบเมนูเฉพาะบุคคล บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ หรือโปรตีนจากพืชท้องถิ่น

  • โมเดลธุรกิจที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสร้างผลกระทบต่อระบบอาหารโดยรวม

  • ศักยภาพในการเติบโตควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว

4. ประเทศไทยคือ Springboard สำคัญของนวัตกรรมอาหารโลก

คุณสันติมองว่า ประเทศไทยมีองค์ประกอบที่พร้อมสำหรับการเป็น “ฐานพัฒนาและขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารระดับโลก” ทั้งด้านวัตถุดิบทางชีวภาพ ผู้บริโภคที่เปิดรับนวัตกรรม และระบบทุนที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจใหม่ ๆ

โครงสร้างทุนในประเทศไทยที่พร้อมผลักดัน Regenerative Food Startups

ทุนในประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่:

4.1 ภาครัฐ: หน่วยงานสนับสนุนอย่าง TED Fund และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มีบทบาทในการมอบทุนวิจัย พัฒนาต้นแบบ และส่งเสริมการขยายผลของนวัตกรรมอาหารอย่างยั่งยืน

4.2 Angel Investors: เครือข่ายนักลงทุนเอกชนรายย่อย เช่น TBAN ให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

4.3 Venture Capital (VC): บริษัทร่วมทุนเอกชน เช่น Innospace มีบทบาทในการสร้างระบบเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการและตลาดจริง พร้อมมี Limited Partners จากบริษัทชั้นนำหลากหลายแห่ง

4.4 Matching Fund: กลไกร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและ VC ที่ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนเอกชน โดยรัฐจะสมทบทุนในอัตราเดียวกัน เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ

 

บทสรุป:

ทุนที่ดี คือทุนที่สร้างโอกาสให้คนทั้งระบบ

“การลงทุนยุคใหม่” ต้องกล้ายอมรับความเสี่ยง และสนับสนุนไอเดียที่มีศักยภาพในการสร้างโลกที่ดีกว่าการลงทุนในระบบอาหารยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อผลตอบแทนทางการเงิน

แต่เพื่อสร้าง ผลกระทบเชิงบวกต่อโลก สุขภาพ และความมั่นคงทางอาหาร อย่างแท้จริง

 

รายชื่อ Panelist

1. คุณนฤศันส์ ธันวารชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

2. Dr. Srinivasan Ancha, Principal Climate Change Specialist, ADB

3. คุณมนู มากมณี อุปนายก Thailand Business Angel Network (TBAN)

4. Mr. Kaushik Barua, Lead Portfolio Advisor Thailand, IFAD

5. คุณสันติ อาภากาศ CEO/Co-Founder Bio Buddy, TASTEBUD LAB and Future Food Network

Next
Next

AI & Future Food Workshop at Future Food Leader Summit 2025